นาฏศิลป์พื้นบ้านอีสานใต้

การจเรียง

           จเรียงในภาษาเขมรเป็นคำกิริยา แปลว่า ขับร้อง ถ้าเป็นคำนามใช้คำว่าจำเรียง การเล่นจเรียงมีลักษณะคล้ายคลึงกับการเล่นหมอลำหรือการเล่นเพลงโคราช จเรียงอาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภทตามลักษณะชิ่อของจเรียงคือ จเรียงที่มีชื่อตามชื่อของเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประสานเสียง จเรียงที่มีชื่อตามลักษณะของเพลงที่ใช้ขับร้อง และจเรียงที่มีชื่อเรียกตามลักษณะงานประเพณี จเรียงแต่ละประเภทแบ่งออกได้ดังนี้

           1. จเรียงที่มีชื่อเรียกตามเครื่องดนตรี 
                1.1 จเรียงตรัว จเรียงที่ใช้ซอประกอบ 
                1.2 จเรียงจเปย จเรียงที่ใช้กระจับปี่ประกอบ 
                1.3 จเรียงจรวง จเรียงที่ใช้ปี่จรวงประกอบแต่บางท่านก็ว่าใช้ปี่อังโกล-ปี่เขาควายประกอบ

           2. จเรียงที่เรียกชื่อตามลักษณะของเพลง 
                2.1 จเรียงกันตรบไก เป็นการการขับร้องคนเดียวหรือเป็นการโต้ตอบของหมอจเรียงชาย-หญิง ไม่ใช้เครื่องดนตรีประกอบ 
                2.2 จเรียงนอระแกว เป็นการร้องโต้ตอบระหว่างชาย หญิง มีพ่อเพลง แม่เพลงและลูกคู่ บทร้องจบด้วย “ นอระแกว ” 
                2.3 จเรียงปังนา เป็นการขับร้องคล้ายกับจเรียงนอระแกว แต่มีจังหวะเร็วกว่า มีสร้อยแทรกและจบด้วย “ ปังนา ” 
                2.4 จเรียงไปยอังโกง เป็นการเกี้ยวพาราสี ใช้ปี่อ้อประกอบ 
                2.5 จเรียงอาไย เป็นการเล่นเบ็ดเตล็ดอย่างหนึ่ง ประกอบการเล่นมโหรี โดยมากเป็นการร้องเกี้ยวพาราสี 
                2.6 จเรียงเบริน เป็นการขับร้องโต้ตอบระหว่างชาย-หญิง โดยใช้แคนเป่า ประสานเสียงอย่างเดียวกับหมอลำ

           3. จเรียงที่มีชื่อเรียกตามงานประเพณี 
                3.1 จเรียงตรด เป็นจเรียงในเทศกาลตรุษสงกรานต์ เพื่อขอรับบริจาคจตุปัจจัยจากครอบครัวต่าง ๆ แล้วนำไปถวายวัด 
                3.2 จเรียงซันตูจ (จเรียงตกเบ็ด) เป็นการขับร้องในงานเทศกาลต่ง ๆ ของพวกคนหนุ่ม เพื่อเกี่ยวสาวโดยใช้คันเบ็ดที่มีเหยื่อเป็นผลไม้ หรือขนมต่าง ๆ เป็นเหยื่อล่อสาว หากสาวคนใดรับขนมนั้นก็แสดงว่ารับรักชายที่หย่อนเบ็ดลงมา

เรือมลูดอันเร ( รำกระทบสาก)

           เรือมอันเรเป็นศิลปะทางด้านดนตรีนาฏศิลป์ที่มีชื่อเสียงของชาวสุรินทร์ ซึ่งเป็นแหล่งกลางทางดนตรีนาฏศิลป์ในแถบอีสานใต้ ในงานแสดงของช้างประจำปีของจังหวัดสุรินทร์ จะต้องมีการเรือมลูดอันเร ซึ่งเป็นศิลปะของท้องถิ่นให้ผู้ที่ไปเที่ยวชมได้ชมกัน

โอกาสที่แสดง 
           แต่เดิมการเล่นเรือมลูดอันเรเล่นกันเฉพาะในเดือน 5 หรือแคแจตรเท่านั้น โดยหนุ่มสาวจะมาร่วมกันเล่นเรือมลูดอันเร เพื่อความสนุกสนานรื่นเริงประจำปี โดยเล่นกันที่ใต้ร่มมะพร้าวที่ลานหน้าบ้าน แต่ปัจจุบันได้มีการนำไปเล่นในงานสำคัญ ๆ ที่ออกหน้าออกตา เช่น งานช้างประจำจังหวัดสุรินทร์

ลักษณะการเล่น 
           หนุ่มสาวจะนำสากมา 2 คู่ แล้ววางเป็นคู่ไขวกันมีคนจับปลายสาก 2 คน ซึ่งจะเป็นผู้กระทบสากไปตามจังหวะเพลง ผู้รำคือ ฝ่ายหญิงและฝ่ายชายจะรำเป็นคู่ ๆ

เครื่องดนตรี 
           1. สากไม้ทำด้วยไม้แก่นกลม 2 คู่ 
           2. ปี่อ้อ 1 เลา ( ปัจจุบันนิยมใช้สไลแทน) 
           3. ซอตรัวเอก (ซออู้กลาง) 1 คัด 
           4. กรับ ฉิ่ง ประกอบจังหวะ และมีการขับร้องประกอบเข้าไปกับการบรรเลงดนตรีด้วย

 

กะโน้บติงต็อง ( ระบำตั๊กแตนตำข้าว )

            กะโน้บติงต็อง เป็นภาษพื้นเมืองของชางอีสาน แปลว่า ตั๊กแตนตำข้าว ระบำตั๊กแตนตำข้าวนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในแถบอีสานใต้ แหล่งกำเนิดกะโน้บติงต็องคือ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของดนตรีและนาฏศิลป์ของแถบอีสานใต้ ระบำตั๊กแตนเป็นการรำที่สนุกสนานเร้าอารมณ์ การเต้นโยกไปโยกมาเป็นการเลียนแบบตั๊กแตนตำข้าว การเต้นรำกะโน้บติงต็องมีการรำเป็นหมู่

ลักษณะการเล่น 
            ผู้เล่นจะแบ่งเป็นฝ่ายชาย ฝ่ายหญิง สมมุติเป็นตั๊กแตนตัวผู้และตั๊กแตนตัวเมีย เสื้อกางเกงเป็นชุดติดกัน สำหรับตั๊กแตนตัวเมีญจะมีกระโปรงสวมทับไปอีกชั้น ระบำตั๊กแตนจะรำเป็นคู่ ๆ มีท่ารำสลับเปลี่ยนกันไป

เครื่องดนตรี 
           1. กลองกันตรึม 2 ลูก ( อาจใช้กลองทัดหรือตะโพนแทนก็ได้ ) 
           2. ปี่สไล 1 เลา 
           3. ซอตนัวเอก 1 คัน ( ซออู้ขนาดกลาง ) 
           4. เครื่องกำกับจังหวะ คือ ฉิ่ง กรับ

ลิเกอีสานใต้

           ลิเกอีสานใต้มีอยู่น้อยมาก เพราะไม่ใคร่ได้รับความนิยม อีกประการหนึ่งผู้เล่นเล่นยาก ไม่มีใครถนัด ลิเกอีสานใต้จะใช้บทร้องและบทเจรจาด้วยภาษาเขมรสูง ( ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครสืบทอดทำให้การเล่นอย่างนี้ มีแต่จะสูญไปตามการเวลาและตามความเจริญสมัยใหม่ )

ลักษณะการเล่น 
           ดำเนินเรื่องคล้ายกับลิเกของไทย คือ ก่อนการแสดงจะมีการขับร้องรำลึกถึงครูบาอาจารย์ 
เทวดาอารักษ์ต่าง ๆ ต่อมาก็มีการปล่อยลิงออกโรง คือ คนที่แสดงตัวเป็นลิงออกมาเต้น ต่อมาก็มีรำเบิกโรงก่อนจะมีการแสดงเป็นเรื่องเป็นราว การแสดงก็มีทั้งบทร้องและบทเจรจา

เครื่องดนตรี 
           1. ปี่สไลชนิดใหญ่ที่สุด 
           2. กลองรำมะนา 2 ใบ 
           3. ซออู้ 1 คัน

อาไย

           อาไยเป็นการเล่นเบ็ดเตร็ดอย่างหนึ่งของชาวชนบทแถบอีสานใต้ การละเล่นแบบนี้สืบทราบได้ว่ารับมาจากกัมพูชา เพราะแต่เดิมทีชาวไทยและกัมพูชามีสัมพันธไมตรีกันดี ชาวไทยแถบสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ได้ไปเที่ยวค้าขายกับชาวกัมพูชา และได้รับการละเล่นมา

ลักษณะการเล่น 
           การเล่นอาไย มีลักษณะการเล่นแบบลำตัดและอีแซวของภาคกลาง เป็นบทโต้ตอบที่ต้องใช้ปฏิภาณระหว่างชชายหนุ่มกับหญิงสาว บทที่ร้องเป็นบทปฏิพากย์ในเชิงเกี้ยวพาราสี บรรดาหนุ่มสาวนิยมเล่นเมื่อมีงานประเพณีต่าง ๆ

เครื่องดนตรี 
           1. ปี่สไล 1 เลา 
           2. ซอตรัวเอก 1 คัน 
           3. กลองกันตรึม 2 ลูก 
           4. ขลุ่ย 1 เลา 
           5. เครื่องกำกับจังหวะ คือ กรับ ฉิ่ง

เรือมตรษ ( รำตรุษสงกรานต์ )

           การรำตรมเป็นการละเล่นพื้นบ้านอีสานใต้ ที่มีการเล่นกันเป็นพื้นทุก ๆ ปีโดยเฉพาะในวันตรุษสงกรานต์ การรำตรดไม่สามารถสืบสาวประวัติได้ว่าเริ่มกันมาตั้งแต่เมื่อไร การเล่นนี้มีการสืบทอดกันมาแต่โบราณ การรำตรดเพื่อความสนุกสนานแล้วยังถือว่าได้บุญกุศลด้วย เพราะจะมีการรำไปทุกบ้านทุกหลังคาเรือน เจ้าของบ้านจะนำจัตุปัจจัยเครื่องไทยทานต่าง ๆ มอบให้แก่หัวหน้าผู้รำตรด เพื่อจะได้นำไปมอบให้แก่วัดด้วย

ลักษณะการเล่น 
           ผู้เป็นหัวหน้าหรือประธานในการเล่นรำตรดจะรวบรวมสมาชิกในหมู่บ้าน ตั้งเป็นวงรำตรดขึ้นและพาลูกน้องไปรำที่ลานหน้าบ้านไปทั่ว ๆ จนครบทุกหลังคาเรือน

เครื่องดนตรี 
           1. กลองกันตรึม 2 ลูก 
           2. แคน 
           3. ขลุ่ย 
           4. เครื่องกำกับจังหวะ อาจมีกรับหรือคันขัวร

โจลมาม็วด ( การทรงเจ้าเข้าผี )

           โจลมาม็วดเป็นพิธีกรรมในการทรงเจ้าเข้าผี เป็นความเชื่อมาแต่โบราณ ที่ว่าผู้ใดเป็นไข้ได้ป่วยไม่สบายใจด้วยประการใดประการหนึ่งก็ตาม เป็นเพราะเจ้าที่เจ้าทาง ผีสางเทวดาบันดาลให้เป็นไป วิธีปัดรังควานได้นั้นต้องใช้วิธีโจลมาม็วด โดยมีคนเข้าทรงเรียกว่า มาม็วด

เครื่องดนตรี 
           1. กลองกันตรึม 2 ลูก อาจใช้ตะโพนแทนก็ได้ 
           2. ปี่อ้อ 1 เลา อาจใช้ปี่สไลแทนก็ได้ 
           3. ซอตรัวเอก 1 คัน 
           จากที่เราได้กล่าวถึงวัฒนธรรมและการละเล่น ทั้งภาคอีสานเหนือและภาคอีสานใต้ไปแล้วนั้น ในภาคอีสานนั้นยังมีอีกกลุ่มวัฒนธรรมหนึ่งที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง

กลุ่มวัฒนธรรมโคราช

 

อ้างอิงจาก http://student.nu.ac.th/thaimusicclub/