สุนทรียภาพแห่งดนตรี เพื่อชีวีเป็นสุข      ดนตรีไทยคือมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนความงดงามและเอกลักษณ์ของชาติไทยผ่านเสียงเพลงและเครื่องดนตรีประจำถิ่น.

เครื่องลิ่มนิ้ว ( Keyboard Instruments)

 

          เครื่องดนตรีในยุคนี้ มักนิยมเรียกทับศัพท์ในภาษาอังกฤษว่า “ เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ด ” ลักษณะเด่นของเครื่องดนตรีที่อยู่ในกลุ่มนี้ก็คือ มีลิ่มนิ้วสำหรับกด เพื่อเปลี่ยนระดับเสียงดนตรี ลิ่มนิ้วสำหรับกดนั้นนิยมเรียกว่า “ คีย์ ” (Key) เครื่องดนตรีแต่ละชนิดมีจำนวนคีย์ไม่เท่ากัน โดยปกติสีของคีย์เป็นขาวหรือดำ คีย์สีดำโผล่ขึ้นมากกว่าคีย์สีขาว

          การเกิดเสียง ของเครื่องดนตรีในกลุ่มนี้มีหลายลักษณะ เปียโน ฮาร์ปซิคอร์ด คลาวิคอร์ด เกิดเสียง โดยการกดคีย์ที่ต้องการ แล้วคีย์นั้นจะส่งแรงไปที่กลไกต่างๆ ภายในเครื่องเพื่อที่จะทำให้สายโลหะที่ขึงตึงสั่นสะเทือน ทำให้เกิดเสียงให้ดังขึ้น เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดบางชนิดให้ลมผ่านไปยังลิ้นโลหะให้สั่นสะเทือน ทำให้เกิดเสียงดังขึ้น เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดบางชนิดให้ลมผ่านไปยังลิ้นโลหะให้สั่นสะเทือนทำให้เกิดเสียง ในปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้วจะมีบางเป็นบางโอกาส

          ในปัจจุบัน เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดที่เกิดเสียงโดยใช้วงจรอิเล็คทรอนิกส์ ไดรับความนิยมมาก เพราะสามารถเลียนแบบเสียงเครื่องดนตรีต่างๆ ได้หลายชนิด ซึ่งได้พัฒนามาจากออร์แกนไฟฟ้านั่นเอง มีชื่อเรียกหลายชื่อ แต่ละชื่อมีลักษณะแตกต่างกันออกไป เช่น เครื่องสตริง ( String Machine) คือ เครื่องประเภทคีย์บอร์ด ทีเลียนเสียงเครื่องดนตรีในตระกูลไวโอลินทุกชนิด อิเล็คโทน คือ เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดที่มีจังหวะในตัว สามารถบรรเลงเพลงต่างๆ ได้ด้วยนักดนตรีเพียงคนเดียว

          ในยุคของ คอมพิวเตอร์ เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดได้วิวัฒนาการไปมาก เสียงต่างๆ มีมากขึ้น นอกจากเสียงดนตรีแล้วยังมีเสียงเอฟเฟ็คต์ ( Effect) ต่างๆ ให้เลือกใช้มาก เสียงต่างๆ เหล่านี้เป็นเสียงที่สังเคราะห์ขึ้นมาด้วยระบบ อิเล็คทรอนิกส์ ดังนั้นเครื่องดนตรีประเภทนี้จึงถูกเรียกว่า “ ซินธีไซเซอร์ ” (Synthesizer)

 

ตัวอย่างเครื่องดนตรีที่จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องลิ่มนิ้ว ได้แก่

 

แกรนด์เปียโน (Grand Piano)


          แกรนด์เปียโน (Grand Piano) คือเปียโนอะคูสติกขนาดใหญ่ที่มีลักษณะโดดเด่นด้วยสายเปียโนที่จัดวางในแนวนอนภายในตัวเครื่องรูปทรงปีกนก โดยทั่วไปจะตั้งอยู่บนสามขา แกรนด์เปียโนได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็น "มาตรฐานทองคำ" ในการแสดงเปียโน เนื่องจากมีคุณภาพเสียงที่เหนือกว่า ช่วงไดนามิกที่กว้าง และการตอบสนองที่ยอดเยี่ยม

ทำไมแกรนด์เปียโนถึงพิเศษ
          คุณภาพเสียงที่เหนือกว่า: แกรนด์เปียโนมักจะให้เสียงที่กังวาน นุ่มนวล และมีมิติมากกว่าเปียโนประเภทอื่น ๆ (เช่น เปียโน upright) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากสายที่ยาวกว่าและแผงเสียง (soundboard) ที่ใหญ่กว่า ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของเสียงได้มากขึ้นและส่งเสียงได้ดีขึ้น
กลไกการตีสายแนวนอน: หัวค้อนในแกรนด์เปียโนจะดีดกลับด้วยแรงโน้มถ่วงหลังจากตีสาย ซึ่งกลไกการทำงานในแนวนอนนี้ช่วยให้กดคีย์ซ้ำได้เร็วขึ้นและควบคุมเสียงได้อย่างละเอียดอ่อนมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเปียโนมืออาชีพ ในทางตรงกันข้าม เปียโน upright มีกลไกการตีสายในแนวตั้งซึ่งต้องใช้กลไกเพิ่มเติมในการดึงหัวค้อนกลับ ทำให้การกดซ้ำอย่างรวดเร็วทำได้ยากกว่า
          ความสวยงาม: แกรนด์เปียโนมักถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราและคุณภาพ การออกแบบที่หรูหราและขนาดที่น่าประทับใจทำให้เป็นจุดเด่นในทุกห้อง เพิ่มความสง่างามและความสวยงาม
          ความทนทาน: แกรนด์เปียโนมักผลิตจากวัสดุคุณภาพสูงและงานฝีมือประณีต ทำให้มีความทนทานและสามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน

ประเภทของแกรนด์เปียโน (ตามขนาด)
          แกรนด์เปียโนมีหลายขนาด โดยทั่วไปวัดความยาวจากด้านหน้าของคีย์ไปจนถึงส่วนท้ายของตัวเครื่อง ขนาดมีผลอย่างมากต่อคุณภาพเสียงและเสียงก้องกังวาน

          Petite Grand: แกรนด์เปียโนที่เล็กที่สุด โดยทั่วไปยาวไม่เกิน 5 ฟุต 5 นิ้ว มักพบในบ้านที่มีพื้นที่จำกัด
         Baby Grand: หนึ่งในประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับใช้ในบ้าน มีความยาวประมาณ 4 ฟุต 11 นิ้ว ถึง 5 ฟุต 6 นิ้ว ให้ความสมดุลที่ดีระหว่างขนาดและเสียง
          Medium Grand: มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยปกติยาวระหว่าง 5 ฟุต 7 นิ้ว ถึง 6 ฟุต 4 นิ้ว ให้เสียงที่เต็มอิ่มขึ้นและเหมาะสำหรับห้องขนาดใหญ่หรือสตูดิโอ
          Parlor Grand (หรือ Living Room Grand/Boudoir Grand): มีความยาวตั้งแต่ 5 ฟุต 9 นิ้ว ถึง 6 ฟุต 9 นิ้ว เปียโนเหล่านี้ให้คุณภาพเสียงและความกังวานที่เพิ่มขึ้น ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักเปียโนมืออาชีพและบ้านขนาดใหญ่
          Semi-Concert Grand (หรือ Ballroom Grand): โดยทั่วไปยาว 6 ฟุต 7 นิ้ว ถึง 7 ฟุต 6 นิ้ว เปียโนเหล่านี้ขึ้นชื่อเรื่องเสียงที่ทรงพลังและช่วงไดนามิกที่กว้าง เหมาะสำหรับนักดนตรีมืออาชีพและพื้นที่การแสดงขนาดกลาง
          Concert Grand: แกรนด์เปียโนที่ใหญ่ที่สุดและทรงพลังที่สุด มักมีความยาวประมาณ 8 ฟุต 11 นิ้ว ถึง 9 ฟุต หรือมากกว่านั้น ออกแบบมาสำหรับห้องคอนเสิร์ตขนาดใหญ่และการแสดงระดับมืออาชีพ ให้คุณภาพเสียง ระดับเสียง และการตอบสนองที่ไม่มีใครเทียบได้

 

อัพไรท์ เปียโน (Upright Piano)


           Upright Piano เปียโนอีกประเภทที่ได้รับความนิยมคือ เปียโน upright หรือที่คนไทยมักเรียกว่า เปียโนตั้งตรง ซึ่งเป็นเปียโนอะคูสติกที่สายและแผงเสียง (soundboard) ถูกจัดวางในแนวตั้ง ทำให้ตัวเครื่องมีรูปทรงกะทัดรัด เหมาะสำหรับพื้นที่จำกัด

ทำไมถึงเลือกเปียโน Upright
          ประหยัดพื้นที่: ข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของเปียโน upright คือการออกแบบที่ประหยัดพื้นที่ เนื่องจากสายเปียโนวางในแนวตั้ง ทำให้สามารถวางชิดผนังได้ เหมาะสำหรับอพาร์ตเมนต์ บ้านที่มีพื้นที่จำกัด หรือห้องเรียน
          ราคาที่เข้าถึงได้: โดยทั่วไปแล้ว เปียโน upright มีราคาถูกกว่าแกรนด์เปียโนอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เป็นตัวเลือกที่เข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับนักเรียน ผู้เริ่มต้น หรือผู้ที่ต้องการเปียโนสำหรับการใช้งานทั่วไปในบ้าน
           เสียงที่เหมาะกับบ้าน: แม้ว่าเสียงอาจไม่กังวานและซับซ้อนเท่าแกรนด์เปียโน แต่เปียโน upright ก็ยังให้เสียงที่เต็มอิ่มและไพเราะ ซึ่งเพียงพอสำหรับการฝึกซ้อม การเรียนรู้ หรือการเล่นเพื่อความเพลิดเพลินในบ้าน
          ความทนทาน: เปียโน upright ที่มีคุณภาพดีสามารถใช้งานได้ยาวนานหลายสิบปี หากได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม

กลไกการทำงานของเปียโน Upright
          ในเปียโน upright หัวค้อนจะตีสายจากด้านหน้าเข้าหาสายในแนวตั้ง แล้วดีดกลับด้วยกลไกสปริงและคันโยก เนื่องจากไม่มีแรงโน้มถ่วงช่วยดึงหัวค้อนกลับเหมือนในแกรนด์เปียโน การกดซ้ำคีย์อย่างรวดเร็วอาจทำได้ยากกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้เปียโน upright มีกลไกการทำงานที่พัฒนาขึ้นมาก ช่วยให้ตอบสนองได้ดีขึ้น

ขนาดของเปียโน Upright
เปียโน upright มีหลายขนาด โดยทั่วไปวัดจากความสูงของตัวเครื่อง:
          Spinet (สปิเน็ต): เป็นเปียโน upright ที่เล็กที่สุด สูงประมาณ 36-38 นิ้ว เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นและผู้ที่มีพื้นที่จำกัดมาก
          Console (คอนโซล): มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย สูงประมาณ 40-44 นิ้ว ให้เสียงที่ดีขึ้นและมักเป็นที่นิยมสำหรับใช้ในบ้าน
          Studio (สตูดิโอ): สูงประมาณ 45-48 นิ้ว เป็นที่นิยมในโรงเรียนสอนดนตรีและสตูดิโอซ้อม เนื่องจากให้เสียงที่เต็มอิ่มและกลไกการทำงานที่ตอบสนองได้ดี
          Professional/Full Upright (โปรเฟสชันแนล/ฟูลอัพไรท์): เป็นเปียโน upright ที่สูงที่สุด สูงตั้งแต่ 48 นิ้วขึ้นไป ให้เสียงที่กังวานและทรงพลัง ใกล้เคียงกับเปียโนแกรนด์ขนาดเล็ก

 

ออร์แกน (organ)


          ออร์แกน (Organ) เป็นเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีความหลากหลายสูง มีชื่อเสียงจากเสียงที่กังวาน ทรงพลัง และสามารถเลียนแบบเสียงของเครื่องดนตรีหลายชนิดได้ ออร์แกนไม่ได้ใช้สายตีเหมือนเปียโน แต่สร้างเสียงด้วยการส่งลมผ่านท่อ (สำหรับไปป์ออร์แกน) หรือสร้างเสียงด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์

ประเภทของออร์แกน
ออร์แกนสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทหลักๆ ได้แก่:

ปป์ออร์แกน (Pipe Organ):
     ลักษณะ: เป็นออร์แกนแบบดั้งเดิมและใหญ่ที่สุด มีท่อโลหะหรือไม้จำนวนมาก (บางครั้งเป็นพันๆ ท่อ) แต่ละท่อจะสร้างเสียงได้หนึ่งโน้ตเมื่อลมถูกเป่าผ่าน
การทำงาน: ผู้เล่นจะกดคีย์บอร์ด (เรียกว่า manual) ด้วยมือ และแป้นเหยียบ (pedalboard) ด้วยเท้า เพื่อเปิดวาล์วให้ลมจากเครื่องเป่าลม (blower) เข้าไปในท่อ ทำให้เกิดเสียง นอกจากนี้ยังมีปุ่มหรือคันโยก (stop) สำหรับเลือกกลุ่มท่อที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างเสียงที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น เสียงฟลูท เสียงทรัมเป็ต หรือเสียงสตริง
     เสียง: ให้เสียงที่ยิ่งใหญ่ กังวาน มีพลัง และหลากหลายมาก สามารถเลียนแบบเสียงเครื่องดนรีวงออร์เคสตราได้ทั้งวง
     การใช้งาน: พบมากในโบสถ์ คอนเสิร์ตฮอลล์ และวิหารขนาดใหญ่ เนื่องจากต้องใช้พื้นที่มากในการติดตั้งและมีราคาแพง

ออร์แกนลม (Reed Organ / Harmonium):
     ลักษณะ: เป็นออร์แกนขนาดเล็กกว่าไปป์ออร์แกน ใช้ลมที่เป่าผ่านลิ้นโลหะที่สั่นสะเทือนเพื่อสร้างเสียง
     การทำงาน: ผู้เล่นจะใช้เท้าถีบแป้นเหยียบเพื่อสร้างลมดัน แล้วกดคีย์บอร์ด
การใช้งาน: เคยนิยมใช้ในบ้าน โบสถ์ขนาดเล็ก หรือในโรงเรียน ปัจจุบันพบน้อยลง

ออร์แกนไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Organ / Digital Organ):
     ลักษณะ: สร้างเสียงด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์หรือระบบดิจิทัล ไม่ได้ใช้ท่อลมจริง
     การทำงาน: สร้างเสียงเลียนแบบไปป์ออร์แกนหรือเสียงเครื่องดนตรีอื่นๆ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ สามารถปรับเสียงได้หลากหลาย และมักมีฟังก์ชันการบันทึกเสียงหรือเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกได้
     เสียง: แม้จะไม่สามารถเทียบเท่าความสมจริงของไปป์ออร์แกนขนาดใหญ่ได้ แต่ก็สามารถสร้างเสียงที่มีคุณภาพสูงและหลากหลายได้ดีเยี่ยม
     การใช้งาน: เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีขนาดกะทัดรัด เคลื่อนย้ายง่ายกว่า ราคาถูกกว่า และไม่ต้องบำรุงรักษาซับซ้อนเท่าไปป์ออร์แกน ใช้ในโบสถ์สมัยใหม่ สตูดิโอ คอนเสิร์ตขนาดเล็ก หรือใช้เป็นเครื่องดนตรีฝึกซ้อมส่วนตัว

ออร์แกนเมโลเดียน (Melodion / Melodica):
     ลักษณะ: เป็นเปียโนแบบเป่าขนาดเล็ก พกพาสะดวก
     การทำงาน: ผู้เล่นใช้ปากเป่าลมผ่านช่องเป่า แล้วกดคีย์เพื่อเปิดวาล์วให้ลมไปกระทบลิ้นเสียง
     การใช้งาน: มักใช้ในการสอนดนตรีในโรงเรียนระดับอนุบาลจนถึงประถมศึกษา หรือใช้สำหรับผู้เริ่มต้น

ส่วนประกอบหลักของออร์แกน (โดยเฉพาะไปป์ออร์แกน)
     คีย์บอร์ด (Manuals): แผงคีย์สำหรับกดด้วยมือ มักจะมีหลายชั้น (เช่น Great, Swell, Choir, Solo) แต่ละชั้นควบคุมชุดท่อที่แตกต่างกัน
     แป้นเหยียบ (Pedalboard): แผงคีย์สำหรับเหยียบด้วยเท้า ใช้เล่นโน้ตเสียงต่ำ (เบส)
     ท่อเสียง (Pipes): ท่อโลหะหรือไม้ที่มีรูปร่างและขนาดต่างกัน เพื่อสร้างเสียงในระดับเสียงและลักษณะเสียงที่แตกต่างกัน
     ปุ่ม/คันโยก (Stops): ใช้สำหรับเลือกและเปิด/ปิดกลุ่มท่อเสียงต่างๆ เพื่อให้ได้เสียงที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น เสียงฟลูท เสียงสตริง เสียงทรัมเป็ต
     แหล่งจ่ายลม (Blower/Wind system): เครื่องเป่าลมและระบบท่อลมที่จ่ายลมที่มีแรงดันคงที่ให้กับท่อเสียง
     คอนโซล (Console): ส่วนที่ผู้เล่นนั่งและควบคุมการทำงานทั้งหมดของออร์แกน

เสียงของออร์แกน
          เสียงของออร์แกนมีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ สามารถสร้างเสียงได้หลากหลายมาก ตั้งแต่เสียงที่นุ่มนวล ใสสะอาดคล้ายฟลูท ไปจนถึงเสียงที่ทรงพลัง กังวาน และยิ่งใหญ่ราวกับวงออร์เคสตราเต็มรูปแบบ ความสามารถในการผสมผสานเสียงต่างๆ จากกลุ่มท่อที่แตกต่างกัน (โดยการใช้ stops) ทำให้ออร์แกนมีมิติเสียงที่ซับซ้อนและน่าทึ่ง

          ออร์แกนเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในดนตรีคลาสสิก โดยเฉพาะในเพลงโบสถ์และงานแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ๆ

 

คลาวิคอร์ด (Clavichord)


          คลาวิคอร์ด (Clavichord) เป็นเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดที่ใช้สายเสียง ซึ่งรุ่งเรืองมากตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1400 ถึง 1800 และกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในศตวรรษที่ 20 มักถูกอธิบายว่าเป็นกล่องสี่เหลี่ยมที่มีแผงคีย์บอร์ด และรูปลักษณ์ภายนอกบางครั้งอาจทำให้สับสนกับฮาร์ปซิคอร์ดขนาดเล็ก หรือเปียโนยุคแรกๆ

เอกลักษณ์ของคลาวิคอร์ด
สิ่งที่ทำให้คลาวิคอร์ดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือ:
          การสร้างเสียง (Tangent): แตกต่างจากเปียโน (ที่ใช้ค้อนตี) หรือฮาร์ปซิคอร์ด (ที่ใช้ตัวดีดสาย) คลาวิคอร์ดสร้างเสียงโดยใช้ใบมีดโลหะเล็กๆ ที่เรียกว่า แทนเจนต์ (tangent) อยู่ที่ปลายแต่ละคีย์ เมื่อกดคีย์ แทนเจนต์จะยกขึ้นและตีสายจากด้านล่าง สิ่งสำคัญคือ แทนเจนต์จะยังคงสัมผัสกับสายตราบเท่าที่ยังกดคีย์ไว้
          การควบคุมเสียงโดยตรงและการแสดงอารมณ์: กลไกที่เป็นเอกลักษณ์นี้ช่วยให้ผู้เล่นสามารถควบคุมเสียงได้อย่างละเอียดอ่อนและใกล้ชิดกับการสัมผัส แทนเจนต์ทำหน้าที่ทั้งเป็นผู้เริ่มต้นเสียงและเป็น "เฟรต" (เหมือนบนกีตาร์) ที่กำหนดความยาวของสายที่สั่นสะเทือน
          การปรับความดังของเสียง: เนื่องจากการที่แทนเจนต์ยังคงสัมผัสกับสาย ผู้เล่นสามารถปรับแรงกดบนคีย์ได้ หลังจาก การตีครั้งแรก ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมความดังของเสียงได้อย่างละเอียด (จากเบามากไปจนถึงดังขึ้นเล็กน้อย) และยังสามารถสร้างเอฟเฟกต์การสั่นสะเทือนที่เป็นเอกลักษณ์ที่เรียกว่า เบบุง (bebungen) (หรือ Bebung) ซึ่งเป็นการโยกนิ้วเล็กน้อยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับเสียงที่สั่นไหว ความสามารถในการแสดงอารมณ์นี้เป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญเหนือฮาร์ปซิคอร์ด ซึ่งโดยทั่วไปมีการควบคุมความดังของเสียงที่จำกัด
          เสียงที่เบา: คลาวิคอร์ดขึ้นชื่อเรื่องเสียงที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ทำให้เหมาะสำหรับการฝึกซ้อมส่วนตัว ดนตรีแชมเบอร์ที่ใกล้ชิด และการประพันธ์เพลงในห้องขนาดเล็ก แต่ไม่เหมาะสำหรับห้องแสดงคอนเสิร์ตขนาดใหญ่หรือการแสดงร่วมกับเครื่องดนตรีอื่นที่มีเสียงดังกว่า

แบบมีเฟรตเทียบเสียง (Fretted) vs. แบบไม่มีเฟรตเทียบเสียง (Unfretted):
          คลาวิคอร์ดแบบมีเฟรตเทียบเสียง (Gebunden): ในคลาวิคอร์ดรุ่นแรกๆ คีย์หลายตัว (และโน้ตหลายตัว) สามารถใช้สายเดียวกันได้ แทนเจนต์จะตีสายในจุดที่ต่างกันเพื่อสร้างระดับเสียงที่ต่างกัน ซึ่งช่วยลดจำนวนสายที่จำเป็น แต่หมายความว่าโน้ตที่ใช้สายเดียวกันไม่สามารถเล่นพร้อมกันได้

คลาวิคอร์ดแบบไม่มีเฟรตเทียบเสียง (Bundfrei):
          คลาวิคอร์ดรุ่นหลังๆ มีสายแยกสำหรับแต่ละคีย์ ทำให้มีความยืดหยุ่นทางดนตรีมากขึ้นและสามารถเล่นโน้ตทั้งหมดได้อย่างอิสระ

          ความสำคัญทางประวัติศาสตร์: คลาวิคอร์ดเป็นเครื่องดนตรีที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเยอรมนี ในช่วงยุคบาโรกและยุคคลาสสิกตอนต้น นักประพันธ์เพลงเช่น โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค และคาร์ล ฟิลิปป์ เอมานูเอล บาค บุตรชายของเขา เป็นที่รู้จักกันดีว่าชื่นชอบคลาวิคอร์ดในด้านการแสดงอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการฝึกซ้อมและการประพันธ์เพลง เพลงจำนวนมากที่เขียนขึ้นสำหรับ "คีย์บอร์ด" ในยุคนี้อาจมีจุดประสงค์สำหรับคลาวิคอร์ด

 

ฮาร์พซิคอร์ด (harpsichord)


          ฮาร์ปซิคอร์ด (Harpsichord) เป็นเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดแบบมีสายที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงยุคบาโรก (ประมาณ ค.ศ. 1600-1750) ก่อนที่เปียโนจะเข้ามาแทนที่ในฐานะเครื่องดนตรีคีย์บอร์ดที่โดดเด่น มันมีลักษณะคล้ายกับเปียโนในรูปร่าง แต่กลไกการสร้างเสียงนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ลักษณะและการสร้างเสียงของฮาร์ปซิคอร์ด
สิ่งที่ทำให้ฮาร์ปซิคอร์ดโดดเด่นคือวิธีการสร้างเสียง:
          การดีดสาย (Plucking): แทนที่จะใช้ค้อนตีสายเหมือนเปียโน หรือแทนเจนต์สัมผัสสายเหมือนคลาวิคอร์ด ฮาร์ปซิคอร์ดใช้กลไกที่เรียกว่า "jack" ซึ่งมี "plectrum" (ตัวดีด) เล็กๆ ติดอยู่ ตัวดีดนี้มักทำจากขนนก (เช่น ขนนกแก้ว) หรือวัสดุสังเคราะห์ เช่น พลาสติก Delrin
          เมื่อผู้เล่นกดคีย์ ตัว jack จะยกขึ้น ทำให้ plectrum ดีดสายให้สั่นสะเทือนเกิดเป็นเสียง
เมื่อปล่อยคีย์ ตัว jack จะตกลงมา และ plectrum จะหมุนหลบเพื่อไม่ให้ดีดสายซ้ำขณะที่กลับสู่ตำแหน่งเดิม พร้อมกับมี "damper" (ตัวห้ามเสียง) เล็กๆ ที่ติดอยู่กับ jack ลงมาหยุดการสั่นของสาย
          เสียงที่สว่างและคมชัด: เสียงของฮาร์ปซิคอร์ดมีลักษณะเฉพาะคือ สว่าง (bright), คมชัด (crisp), และมีเสียงสั้น (less sustain) กว่าเปียโนมาก เสียงจะ "ดัง" และ "ดับ" ค่อนข้างเร็ว ความกังวานของเสียงจะขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องและคุณภาพการสร้าง

          การควบคุมความดังที่จำกัด: ข้อจำกัดหลักของฮาร์ปซิคอร์ดคือ การควบคุมความดังของเสียง (dynamics) โดยการสัมผัสคีย์นั้นทำได้จำกัดมาก ไม่ว่าผู้เล่นจะกดคีย์หนักหรือเบาแค่ไหน เสียงที่ออกมาจะมีความดังใกล้เคียงกัน นี่คือความแตกต่างที่สำคัญที่สุดกับเปียโนซึ่งออกแบบมาเพื่อการควบคุมความดังที่หลากหลาย (pianoforte = soft-loud)

วิธีการสร้างความหลากหลายของเสียงในฮาร์ปซิคอร์ด
          แม้จะควบคุมความดังโดยการสัมผัสไม่ได้ แต่ฮาร์ปซิคอร์ดมีวิธีอื่นในการสร้างความหลากหลายของเสียง (Multiple String Sets): ฮาร์ปซิคอร์ดจำนวนมากมีชุดสายมากกว่าหนึ่งชุด ซึ่งแต่ละชุดมีโทนเสียงที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปจะแบ่งเป็น:
          8-foot (8'): สายเสียงมาตรฐาน ให้เสียงในระดับปกติ
          4-foot (4'): สายเสียงที่สั้นกว่า ให้เสียงสูงขึ้นหนึ่งคู่แปด (octave higher)
          16-foot (16'): สายเสียงที่ยาวกว่า ให้เสียงต่ำลงหนึ่งคู่แปด (octave lower) (พบได้น้อยในฮาร์ปซิคอร์ด แต่มีในบางรุ่น)
          หลายแผงคีย์ (Multiple Manuals): ฮาร์ปซิคอร์ดขนาดใหญ่บางเครื่องมีแผงคีย์สองแผง (manuals) หรือมากกว่า เหมือนกับไปป์ออร์แกน แต่ละแผงคีย์สามารถควบคุมชุดสายที่แตกต่างกันได้ ผู้เล่นสามารถสลับแผงคีย์เพื่อเปลี่ยนโทนเสียง หรือเล่นพร้อมกันเพื่อสร้างเสียงที่เต็มอิ่มยิ่งขึ้น
          กลไก "Lute Stop" หรือ "Buff Stop": เป็นกลไกที่นำชิ้นส่วนผ้าสักหลาด (felt) เล็กๆ มาแตะที่ปลายสายใกล้กับสะพานเสียง (bridge) เพื่อทำให้เสียงสั้นลงและให้โทนเสียงคล้ายเสียงลูท (lute) หรือเครื่องดนตรีพิณ
          "Nasal" or "Buzz" Stops: บางเครื่องมีกลไกที่ทำให้เกิดเสียงที่ "มีจมูก" หรือเสียง "หวี่" ที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของฮาร์ปซิคอร์ดบางประเภท

ประเภทของฮาร์ปซิคอร์ด (แบ่งตามภูมิภาค)
ฮาร์ปซิคอร์ดมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามโรงเรียนการสร้างในแต่ละภูมิภาค:
          อิตาลี (Italian Harpsichord): มักจะมีขนาดเล็กกว่า น้ำหนักเบากว่า มีชุดสายเดียว (หรือสองชุด 8') และเสียงที่คมชัด สว่าง และมี sustain น้อย เน้นความชัดเจนของแต่ละโน้ต
เฟลมิช (Flemish Harpsichord - เช่น Ruckers): มีชื่อเสียงมากในศตวรรษที่ 17 มักมีสองแผงคีย์ และชุดสายสองชุด (8', 4') เสียงจะเต็มอิ่มและมีกังวานมากกว่าฮาร์ปซิคอร์ดอิตาลี
          ฝรั่งเศส (French Harpsichord - เช่น Taskin): พัฒนามาจากแบบเฟลมิชในช่วงศตวรรษที่ 18 มีความสง่างามในการออกแบบและเสียงที่สมดุล นุ่มนวลกว่าฮาร์ปซิคอร์ดอิตาลีและเฟลมิชเล็กน้อย เหมาะสำหรับดนตรีบาโรกฝรั่งเศส
          เยอรมัน (German Harpsichord): มักจะใหญ่กว่าและมีชุดสายที่หลากหลายกว่า (เช่น 8', 4', 16') เพื่อให้ได้ช่วงเสียงที่กว้างขึ้นและโทนเสียงที่หลากหลาย เหมาะสำหรับดนตรีบาโรกเยอรมัน เช่น ของ Bach

ความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการใช้งาน
          ฮาร์ปซิคอร์ดเป็นหัวใจสำคัญของดนตรีบาโรกและดนตรีคลาสสิกตอนต้น มันถูกใช้เป็นเครื่องดนตรีโซโล เครื่องดนตรีร่วมกับวงออร์เคสตรา (ในส่วนของ basso continuo) และในดนตรีแชมเบอร์สำหรับผู้เล่นหลายคน

          แม้ว่าเปียโนจะเข้ามาแทนที่ในที่สุดเนื่องจากความสามารถในการควบคุมความดังที่เหนือกว่า แต่ฮาร์ปซิคอร์ดก็ได้รับการฟื้นฟูความนิยมอย่างมากในศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเล่นดนตรีเก่า (early music) ซึ่งนักดนตรีพยายามที่จะเล่นเพลงในยุคบาโรกด้วยเครื่องดนตรีที่ใกล้เคียงกับเครื่องดนตรีดั้งเดิมในสมัยนั้นมากที่สุด เพื่อให้ได้เสียงและอารมณ์ที่ถูกต้องตามที่ผู้ประพันธ์เพลงตั้งใจไว้

 

แอคคอร์เดียน (Accordion)


          แอคคอร์เดียน (Accordion) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ หีบเพลงชัก เป็นเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดที่ใช้ลิ้นเสียงอิสระ (free-reed aerophone) โดยมีกลไกที่น่าสนใจคือการใช้ หีบเพลง (bellows) เพื่อเป่าลมผ่านลิ้นเสียงเล็กๆ ภายในตัวเครื่อง ทำให้เกิดเสียงขึ้นมา

ลักษณะและการทำงานของแอคคอร์เดียน
          รูปร่าง: แอคคอร์เดียนมีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ:
          ด้านขวา (Treble/Melody side): เป็นส่วนของคีย์บอร์ดหรือปุ่มสำหรับเล่นทำนอง (melody)
          ด้านซ้าย (Bass/Chord side): เป็นส่วนของปุ่มสำหรับเล่นเสียงเบส (bass) และคอร์ด (chords)
          หีบเพลง (Bellows): อยู่ตรงกลาง ทำหน้าที่เป็น "ปอด" ของเครื่องดนตรี เมื่อผู้เล่นดึงหรือบีบหีบเพลง จะทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของลมผ่านลิ้นเสียง
          การสร้างเสียง: เสียงของแอคคอร์เดียนเกิดจากการที่ลมเคลื่อนที่ผ่านลิ้นโลหะเล็กๆ (reeds) ที่ติดตั้งอยู่ภายใน ลิ้นเหล่านี้จะสั่นสะเทือนเมื่อลมผ่าน ทำให้เกิดเสียงโน้ตต่างๆ ขึ้นมา
          การควบคุมเสียง ผู้เล่นจะควบคุมเสียงด้วยการกดคีย์/ปุ่ม เพื่อเปิดช่องให้ลมเข้าไปในลิ้นเสียงที่ต้องการ บีบ/ดึงหีบเพลง เพื่อสร้างแรงดันลมที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อความดังของเสียง (ยิ่งบีบ/ดึงแรง เสียงยิ่งดัง) ทำให้สามารถควบคุมไดนามิกได้ดี
          เสียงที่เป็นเอกลักษณ์: แอคคอร์เดียนมีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์และจดจำได้ง่าย มักถูกอธิบายว่าเป็นเสียงที่ "กังวาน" "มีชีวิตชีวา" และบางครั้งก็ "เศร้าโศก" หรือ "ร่าเริง" ขึ้นอยู่กับสไตล์การเล่นและดนตรี

ประเภทของแอคคอร์เดียน
แอคคอร์เดียนมีหลายประเภทหลักๆ ซึ่งแตกต่างกันที่รูปแบบของคีย์บอร์ดและกลไกการสร้างเสียง:

เปียโนแอคคอร์เดียน (Piano Accordion):
          ลักษณะ: ด้านขวามือจะเป็นคีย์บอร์ดแบบเปียโน ทำให้คุ้นเคยสำหรับผู้ที่เล่นเปียโนอยู่แล้ว
การสร้างเสียง: มักเป็นแบบ ยูนิโซนิก (unisonoric) คือให้เสียงเดียวกันไม่ว่าจะเป็นการดึงหรือบีบหีบเพลง
          การใช้งาน: เป็นที่นิยมและหลากหลายที่สุด ใช้ในดนตรีหลายประเภท ตั้งแต่โฟล์ค คลาสสิก แจ๊ส ไปจนถึงป๊อป

ปุ่มแอคคอร์เดียนแบบโครมาติก (Chromatic Button Accordion - CBA):
          ลักษณะ: ทั้งสองด้านเป็นปุ่มกด โดยปุ่มด้านขวาจะเรียงเป็นแถวสำหรับโน้ตโครมาติก (สามารถเล่นได้ทุกคีย์)
          การสร้างเสียง: มักเป็นแบบยูนิโซนิก
          การใช้งาน: ได้รับความนิยมในยุโรปตะวันออกและดนตรีพื้นบ้านบางประเภท ให้ความยืดหยุ่นในการเล่นเมโลดี้ได้ดี

ปุ่มแอคคอร์เดียนแบบไดอะโทนิก (Diatonic Button Accordion):
          ลักษณะ: มีปุ่มกดทั้งสองด้าน แต่ปุ่มด้านขวาจะจำกัดอยู่แค่ในคีย์หรือสเกลที่กำหนดไว้
          การสร้างเสียง: มักเป็นแบบ ไบโซนิก (bisonoric) คือให้เสียงที่แตกต่างกันเมื่อดึงหีบเพลงเข้าและบีบหีบเพลงออก
          การใช้งาน: นิยมใช้ในดนตรีพื้นบ้าน (folk music) เช่น โพลกา (Polka), ไซดีโก (Zydeco), และดนตรีไอริช

การใช้งานและบทบาทในดนตรี
          แอคคอร์เดียนเป็นเครื่องดนตรีที่มีความหลากหลายสูง สามารถเล่นได้ทั้งเพลงทำนอง (melody) คอร์ด (chord) และเบส (bass) ไปพร้อมกัน ทำให้สามารถเป็นวงดนตรีขนาดเล็กได้ในตัวเอง หรือเป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรีประเภทต่างๆ

          แอคคอร์เดียนถูกนำไปใช้ในแนวเพลงที่หลากหลายทั่วโลก เช่น 
          ดนตรีพื้นบ้าน (Folk Music): โพลกา (Polka), วอลทซ์ (Waltz), ดนตรีเคลติก (Celtic), ดนตรีคันทรี่
          ดนตรีโลก (World Music): โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป (เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี รัสเซีย) อเมริกาใต้ (เช่น แทงโก้จากอาร์เจนตินา) และอเมริกาเหนือ (เช่น ดนตรีเคจันจากหลุยเซียน่า)
          ดนตรีคลาสสิก: มีเพลงคลาสสิกที่แต่งขึ้นสำหรับแอคคอร์เดียน และยังมีการนำไปใช้ในวงออร์เคสตราบางครั้ง
          ป๊อปและร็อก: ถูกนำไปใช้เพื่อเพิ่มสีสันและเอกลักษณ์ให้กับเพลง
          แจ๊ส: แอคคอร์เดียนก็มีบทบาทในวงการเพลงแจ๊สเช่นกัน

          แม้ว่าความนิยมของแอคคอร์เดียนอาจลดลงไปบ้างตามยุคสมัย แต่ก็ยังคงเป็นเครื่องดนตรีที่ผู้คนจำนวนมากหลงรักและยังคงมีการนำไปเล่นในวงดนตรีและเทศกาลต่างๆ ทั่วโลก

 

อิเล็กโทน (Electone)


          อิเล็กโทน (Electone) เป็นเครื่องดนตรีไฟฟ้าประเภทคีย์บอร์ดที่มีชื่อเสียงและเป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ ยามาฮ่า (Yamaha) สำหรับออร์แกนอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะ มันถูกออกแบบมาให้ผู้เล่นสามารถสร้างสรรค์และควบคุมเสียงดนตรีได้อย่างหลากหลายและครบวงจรด้วยตัวคนเดียว

ลักษณะเด่นของอิเล็กโทน
อิเล็กโทนมีความโดดเด่นด้วยคุณสมบัติเหล่านี้:
          คีย์บอร์ดหลายชั้น: โดยทั่วไปอิเล็กโทนจะมีคีย์บอร์ดสำหรับมือสองแผง (ชั้นบน (Upper) และ ชั้นล่าง (Lower)) คล้ายกับออร์แกน และยังมี แป้นเหยียบเบส (Foot bass/Pedalboard) สำหรับเล่นเสียงเบสด้วยเท้า ทำให้ผู้เล่นสามารถควบคุมเสียงเมโลดี้ คอร์ด และเบสไปพร้อมกันได้เสมือนเล่นกับวงดนตรี
          เสียงเครื่องดนตรีหลากหลาย (Voices/Tones): อิเล็กโทนมีความสามารถในการสร้างเสียงเครื่องดนตรีได้มากมาย ทั้งเสียงเปียโน ออร์แกน กีตาร์ เครื่องเป่า เครื่องสาย เครื่องกระทบ และเสียงสังเคราะห์อื่นๆ อีกมากมาย ผู้เล่นสามารถเลือกและผสมผสานเสียงเหล่านี้ได้ตามต้องการ
จังหวะดนตรีอัตโนมัติ (Rhythm Patterns): มีฟังก์ชันจังหวะกลองและรูปแบบจังหวะดนตรีสำเร็จรูปหลากหลายแนวเพลง ช่วยให้ผู้เล่นสามารถเล่นประกอบเพลงได้อย่างง่ายดาย
คอร์ดและเบสอัตโนมัติ (Auto Accompaniment): บางรุ่นมีฟังก์ชันที่ช่วยสร้างคอร์ดและไลน์เบสประกอบอัตโนมัติตามคอร์ดที่ผู้เล่นกดด้วยมือซ้าย ทำให้การเล่นมีความสมบูรณ์มากขึ้น
การปรับแต่งเสียงและเอฟเฟกต์: ผู้เล่นสามารถปรับแต่งเสียงต่างๆ ได้อย่างละเอียด เช่น ค่า Reverb, Chorus, Flanger, Phaser และเอฟเฟกต์อื่นๆ เพื่อเพิ่มมิติและความรู้สึกให้กับเสียงดนตรี
ระบบสัมผัส (Touch Sensitivity): อิเล็กโทนรุ่นใหม่ๆ มักมีระบบสัมผัส (touch response) ที่ละเอียดอ่อน ทำให้สามารถควบคุมน้ำหนักเสียง (dynamics) และการแสดงอารมณ์ได้คล้ายกับเครื่องดนตรีอะคูสติก
          ฟังก์ชันการบันทึกและเชื่อมต่อ: สามารถบันทึกการเล่นได้ และมีพอร์ตเชื่อมต่อ USB หรือ MIDI สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่นๆ เพื่อขยายขีดความสามารถ

ประวัติและความนิยม
          อิเล็กโทนถูกพัฒนาขึ้นโดย Yamaha และเปิดตัวครั้งแรกในปี 1959 โดยรุ่นแรกสุดคือ D-2B ในปี 1967 ในช่วงแรก อิเล็กโทนได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่นและหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงเรียนดนตรีและสำหรับการเรียนรู้ดนตรีในบ้าน เนื่องจากความสามารถในการเป็น "วงดนตรีคนเดียว" และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในยุคนั้น

          แม้ว่าในช่วงหลัง คีย์บอร์ดไฟฟ้าและซินธิไซเซอร์จะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่อิเล็กโทนก็ยังคงมีกลุ่มผู้เล่นและผู้ชื่นชอบอยู่ โดยเฉพาะซีรีส์ Yamaha Stagea ที่เป็นรุ่นปัจจุบัน ซึ่งยังคงพัฒนาเทคโนโลยีและคุณภาพเสียงให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

อิเล็กโทนกับเครื่องดนตรีคีย์บอร์ดอื่นๆ
          ต่างจากเปียโน: อิเล็กโทนเป็นเครื่องดนตรีไฟฟ้าที่สร้างเสียงด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือดิจิทัล ไม่ได้ใช้สายและค้อนตีเหมือนเปียโนอะคูสติก และมีความสามารถในการสร้างเสียงและจังหวะที่หลากหลายกว่ามาก
          ต่างจากคีย์บอร์ด/ซินธิไซเซอร์ทั่วไป: แม้จะเป็นเครื่องดนตรีคีย์บอร์ดไฟฟ้าเหมือนกัน แต่อิเล็กโทนจะเน้นไปที่การมีคีย์บอร์ดหลายชั้นและแป้นเหยียบเบส ทำให้สามารถเล่นเพลงที่มีองค์ประกอบดนตรีครบถ้วนได้ด้วยคนเดียว ซึ่งคีย์บอร์ดพกพาทั่วไปมักจะไม่มีคุณสมบัตินี้
          โดยรวมแล้ว อิเล็กโทนเป็นเครื่องดนตรีที่มีความสามารถรอบด้าน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสำรวจและสร้างสรรค์ดนตรีในรูปแบบที่หลากหลายด้วยเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียว